วงการรถยนต์ออกจะดูถูกดูแคลน รถยนต์ต้นแบบพลังงานทดแทนว่า ทำความเร็วได้ดีไม่เท่ากับเครื่องยนต์ใช้น้ำมัน แต่แล้วบีเอ็มดับเบิลยู ก็ทำเอาคนวิจารณ์ถึงกันตาค้าง เมื่อสวนกระแสรถพลังงานทางเลือก ด้วยการเปิดโครงการ H2R พัฒนารถที่ได้กำลังจากเครื่องยนต์สันดาปภายในโดยใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน แทนการใช้เซลเชื้อเพลิง และได้พิสูจน์สมรรถนะด้วยการทำสถิติโลก 9 รายการ ซึ่งรวมทั้งสร้างสถิติความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นบันไดอีกขั้นก่อนนำเครื่องยนต์แบบใหม่ติดตั้งในรถสุดหรูของค่ายใบพัดสี ฟ้า
บีเอ็มดับเบิลยู เอจี สร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทอีกครั้งด้วยการนำ H2R รถพลังไฮโดรเจนที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำสถิติความเร็ว 9 รายการซึ่งแสดงถึงสมรรถนะอันเกิดจากการมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งในอนาคตบีเอ็มฯจะนำเครื่องยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งใน บีเอ็มดับบลิว ซีรี่ส์ 7 รถสุดหรูของค่าย
H2R สามารถทำสถิติในด้านอัตราเร่งในระยะทางตั้งแต่ระยะสั้น 0-1/8 ไมล์ กระทั่งระยะ 0- 10 ไมล์ รวมทั้งความเร็วสูงสุดในระยะทาง 1 ไมล์ ที่ 181.85 ไมล์ต่อชั่วโมง ( ประมาณ 290.96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และความเร็วสูงสุดในระยะทาง 1 กิโลเมตร 187.62 ไมล์ต่อชั่วโมง ( ประมาณ 300.196 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งเป็นสถิติที่เกิดจากการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในโดยใช้ไฮโดรเจนเป็น เชื้อเพลิงเท่านั้น
เทคโนโลยีที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนรถสามารถทำได้ใน 2 แบบ คือ แบบ Cold ที่ใช้ไฮโดรเจนป้อนเข้าไปในเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ที่สามารถแยกอิเลกตรอนของไฮโดรเจนออกมา ผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าป้อนมอเตอร์ขับเคลื่อน ซึ่งผู้ผลิตรถเช่น พีเอสเอ เปอโยต์ – ซีตรอง และ โตโยต้า ได้ผลิตรถต้นแบบที่ใช้ระบบนี้ ส่วนแบบที่สองคือแบบ Hot ที่ป้อนไฮโดรเจนเข้าสู่เครื่องยนต์สันดาปภายใน และใช้การสันดาปเพื่อกำเนิดพลังขึ้นมา
ผู้ผลิตรถเจ้าของ สัญลักษณ์ใบพัดสีฟ้า ใช้เวลากว่า 20 ปี ในการพัฒนาขุมกำลังที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั้งสองแบบ และใช้เวลาเพียง 10 เดือนในการผลิตรถ H2R ที่สามารถสร้างสถิติความเร็วโลกโลก ทั้งนี้ นาย Jurgen Kubler ผู้จัดการโครงการ H2R อธิบายว่า วัตถุประสงค์ของโครงการ H2R คือ การสร้างรถที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง 2 แบบ สำหรับติดตั้งใน ซีรี่ส์ 7 ต่อไป
ดังนั้น บีเอ็มจึงเลือกใช้เครื่องยนต์ของ รถบีเอ็มดับบลิว 760 I ขนาด 6.0 ลิตร วี 12 พร้อมระบบ Bi-Vanos และ Valvetronic ผลิตกำลังสูงสุด 232 แรงม้า โดยปรับปรุงให้สามารถใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ด้วยการติดตั้งวาล์วพิเศษสำหรับป้อนเชื้อเพลิงเข้ากับท่อไอดี พร้อมทั้งติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยอากาศให้กับลูกสูบ แต่ละตัว เพื่อลดความร้อนสะสมเพื่อป้องกันการชิงจุดระเบิด เนื่องจากการเผาไหม้ของไฮโดรเจนจะให้พลังงานสูงกว่าเชื้อเพลิง และทำให้เกิดความร้อนมากเป็นพิเศษ
ทางด้านโครงสร้างภายนอก บีเอ็มฯ ว่าจ้าง Designworks USA บริษัทที่ปรึกษาทางด้านการออกแบบ ให้ทำการดีไซน์รูปร่างของรถ H2R โดยผลที่ได้คือรถที่มีรูปทรงล้ำยุค และสามารถใช้ประโยชน์จากกระแสลมได้ตามหลักอากาศพลศาสตร์ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูไว้อย่างเต็มเปี่ยม
ทั้ง นี้บีเอ็มฯได้นำ รถพลังไฮโดรเจนที่ทำสถิติความเร็วโลก ไปเปิดตัวต่อสาธารณะชนในงานปารีส มอเตอร์โชว์ 2004 ร่วมกับ รถเด่นๆของค่ายอย่าง M5 , 320 Cd Convertible, 630I เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของบีเอ็มฯที่ต้องการผลิตรถสมรรถนะสูงแต่ปลอดมล ภาวะอย่างแท้จริง แม้จะเป็นการสวนกระแสความนิยมผลิตรถไฮบริด ลูกครึ่งเครื่องยนต์เบนซิน-มอเตอร์ไฟฟ้า ของค่ายรถญี่ปุ่นและ อเมริกันก็ตาม ซึ่งต้องจับตามองกันต่อไปว่า ความมุ่งมั่นของบีเอ็มจะจูงใจให้ลูกค้านิยมเทคโนโลยีสะอาดที่ใช้เวลาพัฒนา มากว่า 20 ปีได้ดีเพียงใด
ข้อมูลทางเทคนิค BMW H2R
จำนวนสูบ / การจัดวางกระบอกสูบ 12 สูบ วางรูปตัว V พร้อม Bi-Vanos และ Valvetronic
เชื้อเพลิง ไฮโดรเจน
ปริมาตรกระบอกสูบ 6.0 ลิตร
แรงม้า 232 แรงม้า
ความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
บีเอ็มดับเบิลยู เอจี สร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทอีกครั้งด้วยการนำ H2R รถพลังไฮโดรเจนที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำสถิติความเร็ว 9 รายการซึ่งแสดงถึงสมรรถนะอันเกิดจากการมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งในอนาคตบีเอ็มฯจะนำเครื่องยนต์ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งใน บีเอ็มดับบลิว ซีรี่ส์ 7 รถสุดหรูของค่าย
H2R สามารถทำสถิติในด้านอัตราเร่งในระยะทางตั้งแต่ระยะสั้น 0-1/8 ไมล์ กระทั่งระยะ 0- 10 ไมล์ รวมทั้งความเร็วสูงสุดในระยะทาง 1 ไมล์ ที่ 181.85 ไมล์ต่อชั่วโมง ( ประมาณ 290.96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และความเร็วสูงสุดในระยะทาง 1 กิโลเมตร 187.62 ไมล์ต่อชั่วโมง ( ประมาณ 300.196 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งเป็นสถิติที่เกิดจากการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในโดยใช้ไฮโดรเจนเป็น เชื้อเพลิงเท่านั้น
เทคโนโลยีที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนรถสามารถทำได้ใน 2 แบบ คือ แบบ Cold ที่ใช้ไฮโดรเจนป้อนเข้าไปในเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ที่สามารถแยกอิเลกตรอนของไฮโดรเจนออกมา ผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าป้อนมอเตอร์ขับเคลื่อน ซึ่งผู้ผลิตรถเช่น พีเอสเอ เปอโยต์ – ซีตรอง และ โตโยต้า ได้ผลิตรถต้นแบบที่ใช้ระบบนี้ ส่วนแบบที่สองคือแบบ Hot ที่ป้อนไฮโดรเจนเข้าสู่เครื่องยนต์สันดาปภายใน และใช้การสันดาปเพื่อกำเนิดพลังขึ้นมา
ผู้ผลิตรถเจ้าของ สัญลักษณ์ใบพัดสีฟ้า ใช้เวลากว่า 20 ปี ในการพัฒนาขุมกำลังที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั้งสองแบบ และใช้เวลาเพียง 10 เดือนในการผลิตรถ H2R ที่สามารถสร้างสถิติความเร็วโลกโลก ทั้งนี้ นาย Jurgen Kubler ผู้จัดการโครงการ H2R อธิบายว่า วัตถุประสงค์ของโครงการ H2R คือ การสร้างรถที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง 2 แบบ สำหรับติดตั้งใน ซีรี่ส์ 7 ต่อไป
ดังนั้น บีเอ็มจึงเลือกใช้เครื่องยนต์ของ รถบีเอ็มดับบลิว 760 I ขนาด 6.0 ลิตร วี 12 พร้อมระบบ Bi-Vanos และ Valvetronic ผลิตกำลังสูงสุด 232 แรงม้า โดยปรับปรุงให้สามารถใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ด้วยการติดตั้งวาล์วพิเศษสำหรับป้อนเชื้อเพลิงเข้ากับท่อไอดี พร้อมทั้งติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยอากาศให้กับลูกสูบ แต่ละตัว เพื่อลดความร้อนสะสมเพื่อป้องกันการชิงจุดระเบิด เนื่องจากการเผาไหม้ของไฮโดรเจนจะให้พลังงานสูงกว่าเชื้อเพลิง และทำให้เกิดความร้อนมากเป็นพิเศษ
ทางด้านโครงสร้างภายนอก บีเอ็มฯ ว่าจ้าง Designworks USA บริษัทที่ปรึกษาทางด้านการออกแบบ ให้ทำการดีไซน์รูปร่างของรถ H2R โดยผลที่ได้คือรถที่มีรูปทรงล้ำยุค และสามารถใช้ประโยชน์จากกระแสลมได้ตามหลักอากาศพลศาสตร์ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูไว้อย่างเต็มเปี่ยม
ทั้ง นี้บีเอ็มฯได้นำ รถพลังไฮโดรเจนที่ทำสถิติความเร็วโลก ไปเปิดตัวต่อสาธารณะชนในงานปารีส มอเตอร์โชว์ 2004 ร่วมกับ รถเด่นๆของค่ายอย่าง M5 , 320 Cd Convertible, 630I เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของบีเอ็มฯที่ต้องการผลิตรถสมรรถนะสูงแต่ปลอดมล ภาวะอย่างแท้จริง แม้จะเป็นการสวนกระแสความนิยมผลิตรถไฮบริด ลูกครึ่งเครื่องยนต์เบนซิน-มอเตอร์ไฟฟ้า ของค่ายรถญี่ปุ่นและ อเมริกันก็ตาม ซึ่งต้องจับตามองกันต่อไปว่า ความมุ่งมั่นของบีเอ็มจะจูงใจให้ลูกค้านิยมเทคโนโลยีสะอาดที่ใช้เวลาพัฒนา มากว่า 20 ปีได้ดีเพียงใด
ข้อมูลทางเทคนิค BMW H2R
จำนวนสูบ / การจัดวางกระบอกสูบ 12 สูบ วางรูปตัว V พร้อม Bi-Vanos และ Valvetronic
เชื้อเพลิง ไฮโดรเจน
ปริมาตรกระบอกสูบ 6.0 ลิตร
แรงม้า 232 แรงม้า
ความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
No comments:
Post a Comment